การวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อศึกษาลักษณะของสถานประกอบการ สภาพแวดล้อม ทางธุรกิจและการบริหารจัดการธุรกิจบริการงานนวดแผนไทย เครื่องมือที่ใช้เก็บข้อมูล เป็นแบบสอบถาม ประชากร คือ ผู้ประกอบการธุรกิจนวดแผนไทย จำนวน 56 ราย สถิติที่ใช้ ในการวิจัย ได้แก่ สถิติพรรณนาใช้ค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน ทดสอบสมมุติฐานโดยใช้ t-test และ F-test เปรียบเทียบรายคู่โดยใช้ LSD และการหาค่าไค-สแควร์ สรุปผลการวิจัย ได้ดังนี้
ผู้ประกอบการธุรกิจนวดแผนไทยส่วนใหญ่จดทะเบียนประกอบการแบบบุคคลธรรมดา เป็นธุรกิจขนาดเล็ก เปิดดำเนินการมาแล้วมากกว่า 6 ปี และมีคาราโอเกะเป็นบริการส่วนควบ ให้บริการทั้งภายในและภายนอกสถานที่ มีจำนวนบุคลากร 8 - 14 คน รายได้ต่อเดือนโดยไม่หักค่าใช้จ่ายอยู่ระหว่าง 100,001 - 150,000 บาท ข้อมูลสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ พบว่า มีความสำคัญ ในภาพรวมอยู่ในระดับมาก ส่วนรายด้านทุกด้านมีผลอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยด้านการแข่งขัน มีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านการเมืองและกฎหมาย ด้านวัฒนธรรมและสังคม และด้านเศรษฐกิจ ตามลำดับ การจัดการธุรกิจบริการงานนวดแผนไทยมีความสำคัญในภาพรวมอยู่ในระดับมาก และรายด้านทุกด้านมีผลอยู่ในระดับมากเช่นกัน โดยด้านการเป็นผู้นำมีค่าเฉลี่ยมากที่สุด รองลงมาคือด้านการควบคุม ด้านการวางแผน ด้านการจัดคนเข้าทำงาน ด้านการพัฒนาธุรกิจ ด้านการจัดองค์การ และด้านการให้บริการ ตามลำดับ และการเปรียบเทียบเกี่ยวกับการบริหารจัดการธุรกิจบริการงานนวดแผนไทย จำแนกตามลักษณะของสถานประกอบการ พบว่า มีความแตกต่างกันทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่ การวางแผน การจัดองค์การ การจัดคนเข้าทำงาน/ฝึกอบรม และการควบคุม ส่วนการเป็นผู้นำ การให้บริการ และการพัฒนาธุรกิจไม่มีความแตกต่างกัน ความสัมพันธ์ระหว่าง การบริหารจัดการธุรกิจบริการงานนวดแผนไทยกับสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ พบว่า มีความสัมพันธ์กันอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ 0.05 ได้แก่การจัดคนเข้าทำงาน การเป็นผู้นำ การควบคุม การให้บริการ และการพัฒนาธุรกิจ ส่วนการวางแผน และการจัดองค์การ ไม่มีความสัมพันธ์กัน ส่วนปัญหาคือการขาดแคลนบุคลากรหรือหมอนวดที่มีความรู้ความสามารถ และการตั้งด่านตรวจวัดปริมาณแอลกอฮอล์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
|